
ชีวิตจริง ของเด็กสมัยนี้ เอาแต่เรียนแข่งขันกัน เรียนจบให้สูงๆ ชีวิตเด็ก จึงเป็นชีวิตที่คร่ำเคร่งกับตำรา
ที่มากเกินไป จนบางที จะเป็นผลเสียต่อการพัฒนาคนได้ใน ชีวิตจริง นั้น ถ้าเราจะสังเกตดีๆ
จะเห็นได้ว่า..คนที่เรียนจบสูงบางคน ก็ว่างงาน ไม่มีงานทำ ต่างจากคนที่คนมีประสบการณ์
ทางด้านการทำงาน มีความสามารถในการปฏิบัติงาน แก้ไขปัญหาได้จริง และ
มีความก้าวหน้า ทางด้านการทำงานที่มากกว่า นั้นเกิดจากตำรานอกห้องเรียน
“ประเด็นที่ 1 ของเรื่องนี้คือ เรื่องการเรียน”
ปัจจุบันการศึกษาเล่าเรียนนั้น เป็นเรื่องของผู้เรียนเพียงคนเดียว จะเรียนดีเรียนหรือแ ย่
ก็อยู่ที่คนเรียนเอง พ่อแม่ อาจารย์ ญาติพี่น้องทั้งหลาย ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้
สถาบันการศึกษาที่เรียนจบมา ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จริงๆแล้วอยู่ที่ทักษณะ ฝีมือตัวเองล้วน ๆ
เมื่อผลการเรียนออกมา มีแนวโน้มว่า… สามารถทำงานได้เก่งนะ เพราะกว่าจะจบมา
มันต้องฝึกฝนกันมากมาย อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนในระหว่างการที่ศึกษาอยู่นั้น
มันฝึกฝน และเรียนรู้จากกรอบการศึกษา เมื่อทำผิด ก็ทำใหม่ แก้ไขใหม่ จนกว่าจะดีขึ้น
นั่นเป็นหลักการง่ายๆ ของการศึกษา ที่เชื่อกันว่า ทุกคนที่ได้ศึกษาในรั้วมหาวิท ย าลัย
หรือในรั้วโรงเรียน ก็เคยผ่านกันมาทุกคน และอยากให้ลองสังเกตดี ๆ ว่า..ในช่วงที่เราศึกษาอยู่
เมื่อไหร่ที่คิดผิด ทำผิด เราจะถูกทำโท ษ ด้วยการทำให้เห็นจาก “เกรด” หรือ “ผลการศึกษา”
ถ้าเรียนไม่ดี ก็อาจติด F ในที่นี้ คือ การลงทะเบียนใหม่ กับเด็กรุ่นน้องๆ บางคนก็อับอาย
ที่จะต้องเป็นพี่ แล้วไปเรียนกับรุ่นน้อง ใครจะรู้ว่าชีวิตในวัยเรียนนั้น มีเรื่อง เ ค รี ย ดมากมาย ป ว ดหัว
เพียงไม่กี่เรื่อง นอกนั้นเป็นเรื่องสนุกสนาน บางคนที่จบมาแล้ว ยังอยากกลับเรียนใหม่เลย
เพราะเมื่ออยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ได้เจอเพื่อนๆ ได้อยู่กับเพื่อนๆ ถึงเวลาเรียนก็ไป ถึงเวลาเลิกก็ไปกับเพื่อน
แต่เมื่อผลการศึกษาออกมา และเมื่อเราสำเร็จการศึกษาเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องจบจากการศึกษา
เพื่อมาทำงานทำการ ซึ่งผลการศึกษาที่ผ่านมานั้น จะเป็นตัวพิสูจน์ต่อไป..ในช่วงชีวิตวัยทำงาน
“ประเด็นที่ 2 เลย คือ เรื่องการทำงาน”
เขาบอกกันมาว่า..ค่าของคน อยู่ที่ผลของการทำงาน การทำงานของทุกคน สามารถวัดได้ง่ายๆ
โดยการวัดจากผลของงานที่ทำ ว่างานนั้น เกิดคุณค่าหรือประโยชน์แก่คนร่วมงาน มากน้อยแค่ไหน
นั่นแหล ะ คือ คุณภาพของงาน เมื่อพูดแบบนี้แล้ว เราจะสังเกตได้ง่ายเลยว่า
ตอนเราเรียน ไม่มีผลการวัดแบบนี้เลย การศึกษาที่ผ่านมานั้น เป็นการเรียนรู้อะไร ที่ทำไม่ได้
สอบไม่ผ่านก็ทำใหม่ แต่จริงๆแล้ว การทำงานนั้น ไม่เหมือนแบบเรียนเลย
เมื่อเราทำงาน ที่ได้รับมอบหมายมานั้น ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง
ไม่ว่าจะเป็น การเสียเวลาเสียเงิน เสียใจ หัวหน้างานตำหนิ เพื่อนร่วมงานไม่มีความเชื่อถือ
ทั้งหมดที่พูดมานี้คือ “ความจริง” คือ โลกความเป็นจริงที่เ จ็ บป ว ด แต่ในทางกลับกัน
มันก็อาจจะเป็นโลกที่มีความสุข เพราะเมื่อไหร่ที่เราทำงานสำเร็จ
คุณก็จะมีคุณค่าต่อผู้อื่นในวงกว้าง ถ้าสังเกตดีๆ ก็เหมือนกับชีวิตในวัยเรียน คือ..
ช่วงของโลกจินตนาการ แต่ “ชีวิตในการทำงานมันเป็นโลกแห่งความจริง”
มีคนเคยบอกว่า การที่เราประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นเพราะเราไม่หยุดการเรียนรู้
เพราะเมื่อไหร่ ที่ออกมาจากรั้วมหาลัยแล้ว ไม่มีคุณครูคอยบอก คอยสอน จะเป็นตัวเรา
ที่จะได้ศึกษาจริง ๆ จัง จะต้องเรียนรู้ทุกอย่าง เพราะนั่นมันคือผลได้ผลเสียของเรา
ในทุกๆครั้ง ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม จริง ๆ แล้วการศึกษาไม่ได้อยู่เพียงแค่ในรั้วมหาวิทยาลัย
เพียงอย่างเดียว เราจำเป็น ต้องศึกษาในทุกๆเรื่อง ศึกษาที่จะล้ มเห ล วและปรับแก้ไขให้มันดีขึ้น
ไม่ให้มันผิ ดแล้ว ผิ ดอีก จนหาคุณภาพไม่ได้ ชีวิตของเรายังดำเนินต่อไป ไม่ใช่แค่อยู่ในรั้วมหาลัย
จะต้องเรียนรู้ ชีวิตการทำงาน เราก็ต้องเรียนรู้จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปสู่จุดที่สูงที่สุด
แต่ไม่ใช่จุดที่เราต้องเ ห ยี ย บย่ำคนอื่น นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่า
“การเรียนสูงนั้นไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งหมดในชีวิต” แต่สิ่งสำคัญ ว่าคุณนั้นมีประสบการณ์
หรือ รู้จักเรียนรู้ในการใช้ชีวิต ให้เป็นมากกว่าเสี ยอีก การที่เรานั้นจะสำเร็จได้
เราต้องรู้จักเรียนรู้ ในการใช้ชีวิต ในการทำอะไรต่าง ๆ การเรียนไม่ได้หยุดแค่ ที่การจบแล้วได้ใบปริญญามา
แต่เราต้องศึกษาสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตเรา นั่นก็ คือ “ชีวิตจริงของเรานั้นเอง”
“การศึกษาที่สมบูรณ์นั้น เกิดจากประสบการณ์ทางสังคม
คนเราเรียนรู้ซึ้งกันและกัน ไม่มีบทเรียนใด ที่สำคัญไปกว่า
บทเรียนที่เราได้รับ จากสภาพความเป็นจริงของชีวิต”
ขอบคุณที่มา : p o s t s a r a.